ประเทศเวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่มีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวติดอันดับโลก โดยการท่องเที่ยวของเวียดนามเคยติดอันดับ 6 ใน 10 อันดับของจุดหมายปลายทางที่มีการเติบโตของการท่องเที่ยวสูงที่สุดในโลกมาแล้ว
สำนักข่าว VIETNAM PICTORIAL รายงานว่าในปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั้งหมดอยู่ที่ 12.6 ล้านคน เกินเป้าหมายเริ่มต้น 57% ขณะที่จำนวนนักเดินทางในประเทศอยู่ที่ 108 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ กิจกรรมการท่องเที่ยวสร้างรายได้ประมาณ 678 ล้านล้านดอง (27.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าแผนรายปี 4.3%
“จุดแข็ง” อีกสิ่งหนึ่ง ที่ชาวเวียดนามยังคงรักษา และยืนหยัดเอาไว้อย่างมั่นคงคือ ‘ความเป็นตัวเอง’ หรือ ‘ชาตินิยม’ ควบคู่กันไป ทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมและเผยแพร่ต่อ ๆ กันไปในสังคมโซเชียลมีเดีย
ทีมข่าวมีโอกาสนั่งคุยกับ “ยุทธ” Mr. Ngo Van Thanh ไกด์หนุ่มหน้าเปื้อนยิ้มชาวเวียดนาม ที่ปักหลักต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่เมืองดานัง เมืองที่ประกาศใช้นโยบาย “5 ไม่มี – 3 มี” เพื่อพัฒนาเมืองและสังคมให้น่าอยู่ โดยนโยบาย “5 ไม่มี” ประกอบด้วย ไม่มีคนอดอยาก ไม่มีคนไม่รู้หนังสือ ไม่มีขอทาน ไม่มีผู้ใช้ยาเสพติด และ ไม่มีโจรขโมย ส่วนนโยบาย “3 มี” ได้แก่ มีบ้านอยู่ มีงานทำ และมีอายรธรรม
ยุทธ…เล่าให้ฟังว่าบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดกว๋างบิ่ญ ที่ตั้งอยู่ภาคกลางตอนบนของประเทศเวียดนาม เป็นจังหวัดที่มีแผ่นดินแคบที่สุดของเวียดนาม และเป็นจังหวัดที่เดินทางจากไทยไปใกล้ที่สุด คือระยะทาง 145 กิโลเมตรจากจังหวัดนครพนม ตอนเรียนอุดมศึกษาปีแรกก็เรียนด้านภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยในเวียดนาม พอเรียนได้ 1 ปีเขามีโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครพนม เลยสมัครไปและติด 1 ใน 10 คน แรกๆต้องไปเรียนภาษาไทยก่อน 1 ปี แล้วเขาให้เลือกมหาวิทยาลัย เลยเลือกศึกษาต่อปริญญาตรีที่มหาวิยาลัยราชภัฏสกลนคร อีก 4 ปี รวมเรียนที่ไทย 5 ปี
“การที่ได้ไปเรียนที่ประเทศไทย ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมากนะครับ เพราะว่าไทยกับเวียดนามมีมิตรภาพที่ดีมากว่า 40 ปีแล้ว ทั้งการท่องเที่ยวและการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวมาบูมมากเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาจากละครโทรทัศน์เรื่องฮอยอันฉันรักเธอ ทำให้มีนักท่องเที่ยวไทยตามรอยละครเรื่องนี้มาเที่ยวเมืองฮอยอันกันเป็นจำนวนมาก
แรก ๆ ที่นักท่องเที่ยวไทยมาเที่ยวเวียดนาม ยังไม่มีไกด์เวียดนามที่พูดไทยได้เลย จึงมีความต้องการนักศึกษาที่พูดได้ทั้ง 2 ภาษามาช่วยเป็นไกด์ ผมเริ่มมาเป็นไกด์ตอนแรกก็ยังงง ๆ อยู่ เพราะยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญ แต่พอทำไปได้สักระยะก็เริ่มดีขึ้น พอเรียนจบปริญญาตรีก็มาทำอาชีพไกด์เต็มตัวแต่ก็ต้องไปเรียนเพิ่มเติมอีก 6 เดือนถึงได้ใบอนุญาตและใน 5 ปีก็ต้องไปต่อใบอนุญาตอีกครั้ง” ไกด์หนุ่มเล่าที่มาของอาชีพให้ฟังอย่างตั้งใจ
ถามว่าการที่ได้มาเรียนที่ประเทศไทย ถือว่าพลิกชีวิตได้เลยมั้ย “ยุทธ” ยอมรับว่า การที่มีโอกาสได้ไปเรียนที่ประเทศไทย คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีมากของชีวิต เพราะหากเปรียบเทียบกับเด็กเวียดนามที่มีโอกาสได้เรียนต่างประเทศ เช่นแถวยุโรป หรือว่าประเทศจีน พอจบการศึกษากลับมา โอกาสในการหางานของเราถือว่ามีเยอะกว่า เพราะเราทำงานได้ 2 ทางคือเป็นไกด์และอีกทางหนึ่งก็คือทำงานในบริษัทที่คนไทยมาลงทุนในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้เรายังสามารถพานักท่องเที่ยวเวียดนาม หรือนักธุรกิจเวียดนามไปท่องเที่ยวหรือไปทำธุรกิจที่ประเทศไทยได้ จากทักษะที่เราสามารถสื่อสารได้ทั้ง 2 ภาษานั่นเอง
ในระหว่างที่ยุทธทำหน้าที่ไกด์ เราก็สังเกตเห็นทักษะอื่น ๆ นอกเหนือจากการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว แนะนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของเวียดนามอย่างละเอียด โดยมีการขายสินค้าที่ระลึก ขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไปจนถึงขนมนมเนยที่ขนขึ้นเครื่องหิ้วกลับมาได้ รวมทั้งการติดต่อร้านค้า ร้านอาหารอย่างคล่องแคล่ว จึงอดถามไม่ได้ว่า อาชีพไกด์ที่เวียดนามมีรายได้มากน้อยแค่ไหน
“พูดถึงรายได้เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน ที่เวียดนามถือว่าเป็นรายได้ที่ดีเลยครับ ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กที่จบใหม่ระดับปริญญาตรีเงินเดือนจะอยู่ที่ 6-7,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรายได้พิเศษเสริมเข้าไปอีกจากอาชีพไกด์ทั้งทิปจากลูกค้าและการขายของให้กับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการกับเรา ถือเป็นอาชีพที่หลาย ๆ คนต้องการเข้ามาทำเลยทีเดียว” ไกด์หนุ่มยืนยันด้วยความภาคภูมิใจในอาชีพ
เมื่อถามว่า แล้วต่อไปในอนาคตของอาชีพไกด์ที่เวียดนามจะเป็นยังไง “ยุทธ” ตอบไม่ลังเลแบบคนที่วางแผนชีวิตไว้เป็นอย่างดีแล้วว่า…อาชีพไกด์ในเวียดนาม โดยเฉพาะไกด์ที่รับทัวร์ไทยคิดว่าตอนนี้นักท่องเที่ยวไทยเริ่มน้อยลงทุกปี ก็จะต้องมีการปรับตัวกันตลอด ส่วนตัวทำมา 17 ปีแล้ว อีกไม่นานผมวางแผนไว้ว่าคงต้องเปลี่ยนอาชีพ สาเหตุหนึ่งมาจากเรื่องอายุ เพราะอายุมากจะทำอาชีพนี้ได้ไม่ค่อยสะดวก โดยอาจผันตัวทำธุรกิจส่วนตัวเช่นเปิดร้านกาแฟ รวมทั้งการเป็นพี่เลี้ยงสอนไกด์รุ่นน้อง ๆ ให้สืบทอดอาชีพดี ๆ นี้ต่อไปครับ
.
ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้ไปเห็นและได้รับฟังจุดแข็งของประเทศเวียดนาม ที่ประชาชนชาวเวียดนามต่างพร้อมใจกันอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคงเพื่อเป็นมรดกของประเทศชาติ และนำมาอวดโฉมต่อชาวโลกอย่างภาคภูมิ จนทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลไปเยี่ยมชมไม่ขาดสาย และมีสถิติเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ ก็รู้สึกชื่นชมที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างร่วมมือร่วมใจเพื่อชาติบ้านเมืองกันเต็มที่ เมื่อย้อนมองกลับมาบ้านเรา หากเราเอาจริงเอาจัง ปลุกจิตสำนึกความเป็นไทยให้ลุกโชน การท่องเที่ยวประเทศไทยก็คงโชติช่วงไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นเดียวกัน